top of page

Žižek's Jokes


เป็นหนังสือรวมเรื่องตลกที่เล่าโดย Žižek


มองในแง่หนึ่ง จึงเป็นอะไรที่อ่านง่าย ๆ เบา ๆ แต่ขณะเดียวกัน แต่ละเรื่องก็มีแง่มุมเชิงปรัชญา จึงนับเป็นงานปรัชญา


วิทเก้นชไตน์ว่า งานปรัชญาที่ดีและจริงจังอาจเขียนให้เป็นเรื่องตลกได้ ฉะนั้นในอีกแง่ จึงเป็นสิ่งเก็บความให้หมดได้ยาก


ในบทนำ Žižek พูดถึงเรื่องสั้น Jokester ของ Asimov ว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาจากการเล่าเรื่องตลกให้วานรฟัง (อันนี้ ผมว่าไม่ได้อยู่ใน Jokester นะ) และพูดถึงคำถามที่น่าสนใจคำถามหนึ่ง นั่นคือ เรื่องตลกมาจากไหน (อันนี้อยู่ใน Jokester) เหตุใดจึงดูเหมือนเรื่องตลกที่เราเล่าหรือได้ยินได้ฟัง เป็นเรื่องที่ไม่มีผู้เขียน ทำให้ความคิดที่ว่ามีคนแต่งเรื่องตลกประหนึ่งเป็น "ความเป็นอื่นของความเป็นอื่น" นอกจากนี้ ในเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง แกว่าความบันเทิงของเรื่องตลกอยู่ที่จะต้องมีคนเจ็บปวด อับอาย ฉะนั้น มีหลายเรื่องในเล่มที่อาจทำให้คนอ่านบางคนกระอักกระอ่วน พระเจ้าถูกเอามาล้อ เซ็กส์ถูกทำให้วิตถาร (และสนุกสนาน) เป็นต้น


เรื่องในเซ็ตนี้วนเวียนอยู่กับยิว คริสเตียน เซ็กส์ สังคมนิยม คอมมิวนิสต์ เฮเกลเลี่ยน พอพูดได้ว่า อ่านแบบเพลิน ๆ รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้างฮะ

ระหว่างอ่าน เราเอาบางตอนกับความเห็นส่วนตัวบางอย่างลง facebook ต่อไปนี้เป็นข้อความที่ตัดมาจาก facebook

Jan 18, 2015

ตอนค่ำเดินเล่นในคิโนะคุนิยะ สยามพารากอน หยิบหนังสือ Žižek's Jokes ให้พนักงานแกะห่อพลาสติก แล้วนั่งอ่านในร้าน อ่านไปประมาณ 20% ก็เก็บวางที่เดิม ไม่ซื้อเพราะแพง และบางมุกก็ยากจะเข้าใจ ขำไม่ออก เรื่องแรกเกี่ยวกับผู้ชายผิวขาวสามคนกับผู้ชายผิวดำสองคน มีประเด็นที่น่าสนใจ และเป็นปัญหาที่ทะลึ่งได้ใจ จนอยากเอามาเล่าเก็บไว้ตรงนี้ ขอออกตัวก่อนว่าเราเขียนหลังจากอ่านผ่านไปหลายชั่วโมง หลังจากดูละครเพื่อนเฮี้ยนโรงเรียนหลอนจบตอนคราบ หากจำผิดพลาดหรือเล่าผิดเพี้ยนก็ขออภัยล่วงหน้าฮะ แต่คิดว่าใจความหลัก ๆ คงไม่คลาดเคลื่อนนัก


Žižek ชวน re-read ปัญหา logical time ของลากองผู้ได้เสนอการตีความปัญหาตรรกะเรื่องนักโทษสามคน Žižek ว่าต้นฉบับของปัญหานี้มาจากปัญหาตรรกะลามกตั้งแต่ศตวรรษที่สิบแปด เรื่องมีอยู่ว่า ผู้คุมจะปล่อยนักโทษหญิงหนึ่งคนจากสามคนให้เป็นอิสระ โดยใช้เกณฑ์คือความฉลาด นักโทษหญิงทั้งสามคนจะถูกจับมายืนหันหน้าเข้าหากันเป็นสามเหลี่ยมรอบโต๊ะกลมขนาดใหญ่ พวกเธอเปลือยท่อนล่างตั้งแต่เอวลงไป แอ่นลำตัวมาข้างหน้า นมแนบโต๊ะ ตั้งท่าพร้อมรับการร่วมเพศทางด้านหลัง (a tergo) นักโทษหญิงแต่ละคนจะถูกผู้ชายซึ่งอาจจะมีผิวดำหรือผิวขาวร่วมเพศด้วย แต่ละคนมองเห็นผู้หญิงอีกสองคนข้างหน้าว่ามีเซ็กส์กับผู้ชายผิวสีอะไร แต่ไม่รู้ว่าตัวเองมีเพศสัมพันธ์กับสีอะไร ข้อมูลทั้งหมดที่พวกเธอรู้มีเพียง ผู้ชายที่ร่วมเล่นเกมนี้มีทั้งหมด 5 คน โดยมีผิวขาว 3 คนและดำ 2 คน นักโทษคนไหนสามารถบอกได้ก่อนว่าตัวเองมีเซ็กส์กับผู้ชายผิวสีอะไร ให้ลุกออกจากห้องทันที และเป็นอิสระ


ทีนี้ Žižek วิเคราะห์ว่าเราสามารถแบ่งได้เป็น 3 กรณี


1. กรณีผู้ชายผิวดำ 2 คนกับขาว 1 คน, ในกรณีนี้ ผู้หญิงที่เพศสัมพันธ์กับขาวจะลุกออกไปจากห้องทันที เพราะเธอเห็นผู้ชายผิวดำ 2 คน


2. กรณีดำ 1 คนกับขาว 2 คน, ในกรณีนี้ ผู้หญิงสองคนที่มีเซ็กส์กับขาวจะเห็นผู้ชายดำ 1 และขาว 1, ส่วนผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์กับดำจะเห็นขาว 2, Žižek บอกว่า นักโทษหญิงที่จะเป็นอิสระคือหนึ่งในสองคนที่มีเพศสัมพันธ์กับขาว คนที่สามารถให้เหตุผลกับตัวเองได้ว่า "ฉันเห็นดำ 1 และขาว 1, ถ้าคนที่ฉันมีเพศสัมพันธ์ด้วยเป็นดำ ผู้หญิงคนที่กำลังมีเซ็กส์อยู่กับขาวจะต้องเห็นดำ 2 นั่นจะทำให้หล่อนลุกและออกไปจากห้อง เพราะหล่อนจะรู้ทันทีว่าเป็นกรณีที่ 1, แต่นี่หล่อนไม่ลุก ฉะนั้นของฉันคือผิวขาว"


3. กรณีขาวทั้ง 3 คน, ผู้หญิงทุกคนจะเห็นขาว 2 คน, Žižek ว่าแต่ละคนสามารถให้เหตุผลแบบนี้ได้ "ฉันเห็นขาว 2 และถ้าฉันกำลังมีเพศสัมพันธ์กับดำ มันเป็นกรณีที่ 2 ฉะนั้น จะต้องมีผู้หญิงคนใดคนหนึ่งในสองคนนั้นที่ลุกออกไปจากห้อง แต่ตอนนี้กลับยังไม่มีใครลุกขึ้น ฉะนั้นของฉันคือขาว"


พอถึงตรงนี้ Žižek บอกว่ามีปัญหาเรื่อง logical time กล่าวคือ ถ้าผู้หญิงทั้ง 3 คนฉลาดเท่ากัน และลุกขึ้นยืนพร้อมกัน มันจะทำให้พวกเธอไม่แน่ใจขึ้นมาทันทีว่ากำลังมีเพศสัมพันธ์กับสีอะไร เพราะผู้หญิงแต่ละคนไม่มีทางรู้ว่า ผู้หญิงอีก 2 คนที่เหลือลุกขึ้นเพราะให้เหตุผลแบบเดียวกับตน (นั่นคือกรณีที่ 3) หรือผู้หญิง 2 คนนั้นลุกขึ้นเพราะเป็นเหตุการณ์ในกรณีที่ 2 คือตนมีเพศสัมพันธ์กับดำ หลังจากนั้น Žižek พูดถึง consolation prize ออกแนวมุกเถื่อนว่าอย่างน้อยคนแพ้ก็ได้ร่วมรักกันจนเสร็จ และพึงพอใจกับการมีเซ็กส์กับคนผิวดำ ฯลฯ


ต่อไปนี้เป็นข้อสังเกตส่วนตัวหลังอ่านจบ


ก. Žižek ไม่จำเป็นต้องพูดว่าถ้าทั้ง 3 คนฉลาดเท่ากันตอนที่เขาพูดถึง logical time เพราะในการวิเคราะห์แยกแต่ละกรณี แม้แต่กรณีที่ 1 ก็เป็นการวิเคราะห์ที่อยู่บนสมมติฐานว่าทั้ง 3 คนฉลาดเท่ากันอยู่แล้ว มิฉะนั้นอาจเกิดกรณีที่ผู้หญิงซึ่งมีเพศสัมพันธ์กับขาวในกรณีแรกที่ไม่ใช่คนที่จะลุกออกไป แต่คนแรกที่ลุกออกไปคือคนที่ตอบผิด และทำให้เกมจบ เช่น ผู้หญิงคนที่กำลังมีเซ็กส์กับขาวเป็นคนโง่ที่สุด คิดช้าที่สุด หล่อนต้องใช้เวลาถึง 10 นาทีกว่าจะรู้ว่าการเห็นดำ 2 คนตรงหน้าหมายถึงของหล่อนคือขาว (นี่ไม่ยังไม่นับกรณีที่หล่อนฉลาด รู้ตั้งแต่แวบแรก แต่เลือกจะอยู่ต่อด้วยเหตุผลบางประการ) ฉะนั้นอาจทำให้ผู้หญิงที่ฉลาดมากอีกคนหนึ่งที่มีเซ็กส์อยู่กับดำและไม่รู้ว่าคนที่กำลังมีเพศสัมพันธ์อยู่กับขาวนั้นต้องใช้เวลาคิดถึง 10 นาทีกว่าจะคิดออก ทำให้หล่อนเข้าใจผิดคิดว่านี่เป็นกรณีที่ 2 แล้วลุกออกไปด้วยความเข้าใจผิดนั้น


ข. ถ้าตัวอย่างลุกพร้อมกัน 3 คนมีปัญหา logical time แล้ววิธีคิดในกรณีที่ 2 ที่อาจทำให้ยืนพร้อมกัน 2 คนก็มีปัญหา logical time ด้วยเช่นกัน นั่นคือ ถ้าผู้หญิงขาวยืนสองคน คนที่ยืนจะไม่แน่ใจว่า อีกคนยืนเพราะคิดเหมือนตน (กรณีที่ 2) หรือยืนเพราะเห็นตนมีเซ็กส์กับดำ (กรณีที่ 1) และปัญหา logical time นี้ เราคิดว่ามันเกิดจากการไม่สามารถจำลองและไม่รู้เวลาที่ใช้ในการคิดของคนอื่น (เป็น halting problem) ร่วมกับการไม่กำหนดเวลาส่งมอบคำตอบ ซึ่งเวลาส่งมอบคำตอบนี้เป็นตัวแปรสำคัญที่ Žižek ไม่ได้กล่าวถึง และอาจถูกรวบหัวรวบหางปนอยู่กับ logical time


เช่น ถ้าเราสมมติให้ทุกคนฉลาดเท่ากันและฉลาดมาก ๆ คือสามารถหาคำตอบได้ทุกปัญหาโดยไม่ต้องใช้เวลา และมีการกำหนดเวลาส่งมอบคำตอบว่า นักโทษจะมีสิทธิตอบเมื่อได้ยินเสียงนกหวีดซึ่งจะเป่าทุก ๆ 10 วินาที เราจะแก้ปัญหานี้ได้ง่าย ๆ เพราะ กรณีที่ 1 จะมีคนลุกออกไปตั้งแต่เสียงนกหวีดแรก 1 คน, กรณีที่ 2 จะมีคนลุกออก 2 คนที่เสียงนกหวีดครั้งที่ 2 และกรณีที่ 3 จะมีคนลุกออก 3 คนที่เสียงนกหวีดครั้งที่ 3 นั่นคือ การกำหนดจังหวะส่งมอบคำตอบจะทำให้ประโยคที่ขึ้นต้นด้วยถ้าผู้หญิงทั้ง 3 คนฉลาดเท่ากันและลุกขึ้นยืนพร้อมกันของ Žižek เป็นเท็จ


ค. ความย้อนแย้งของเรื่องเล่า: ผู้คุมอยากปล่อยนักโทษหญิงที่ฉลาดที่สุด และในการวิเคราะห์คำตอบของเรื่องเล่าทั้งหมดตั้งอยู่สมมุติฐานว่าทุกคนฉลาดเท่ากัน! ถ้าสมมุติว่าทุกคนฉลาดไม่เท่ากัน การวิเคราะห์ทุกกรณีก็ใช้ไม่ได้เลย และไม่ว่ากรณีไหน คนที่ฉลาดที่สุดก็ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่จะได้รับการปล่อยตัว เช่น กรณีที่ 1 และขาวมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงที่โง่มาก, นอกจากนี้ เราสามารถพิสูจน์ได้ไม่ยากว่า จะไม่เกิดกรณีที่ผู้หญิงมีเซ็กส์กับดำจะรู้ตัวก่อนไม่ว่าหล่อนจะฉลาดปานใด นั่นคือ ถ้าเราสมมุติให้ทุกคนฉลาดเท่ากัน วิธีนี้ของผู้คุมก็ไม่ได้หาคนที่ฉลาดที่สุด หรือถ้าเราสมมติให้ทุกคนฉลาดไม่เท่ากัน วิธีนี้ของผู้คุมก็ไม่มีทางบอกได้ว่าใครฉลาดที่สุดอยู่ดี

Feb 12, 2015


ชาวยิว 2 คนเป็นเพื่อนกัน เดินผ่านโบสถ์คาทอลิกที่มีโปสเตอร์ขนาดใหญ่ประกาศบอกคนเดินผ่านไปมาที่มิใช่คาทอลิกว่า "เข้ามาสิ ยอมรับคาทอลิก แล้วคุณจะได้รับเงินสดทันที 30,000 ดอลลาร์" ขณะกำลังเดินจากไป เพื่อนทั้งสองถกเถียงกันถึงเรื่องให้เงินนั้นว่าจะจริงจังแค่ไหน หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ทั้งคู่เจอกันอีกครั้งหน้าโบสถ์เดิม คนหนึ่งเผยความในใจกับอีกคนหนึ่ง "เรายังคาใจนะ ไอ้เรื่องที่ยอมเป็นคาทอลิกแล้วให้เงินเนี่ย" อีกคนตอบกลับอย่างหยามเหยียด "โถ พ่อยิว พวกคุณนี่ก็คิดถึงแต่เรื่องเงิน!"

Feb 13, 2015

ฤาพระคริสต์ก็มิผิดไปจากบุตรของแรบไบในตลกร้ายเรื่องนี้ แรบไบบ่ายหน้าหาพระเจ้าด้วยความสิ้นหวัง ถามพระองค์ว่าเขาควรทำอย่างไรกับไอ้ลูกชั่วที่ไม่ได้ดั่งใจ พระเจ้าตอบกลับอย่างสงบ "ทำอย่างที่เราทำ เขียนพันธะสัญญาใหม่!"

Feb 14, 2015

ตะกี้เปิดช่อง GMM เจอ Club Friday The Series 5 ตอน ความลับของหัวใจที่ไม่มีจริง เป็นจังหวะที่ดีเจคุณพี่อ้อยอ่านจดหมายน้องบอสประมาณว่า ถ้าเจอเขาแล้ว ไม่รู้จะพูดเริ่มต้นด้วยประโยคแบบไหนดี คือน้องเค้านัดเจอหนุ่มสจ๊วตวิน ... คือ มันอดนึกถึงมุกตลกใน Žižek's Jokes ไม่ได้จริง ๆ มุกหลอนจนอยากจำเอาไปใช้

คนแปลกหน้าคนหนึ่งถาม "คุณเคยเอากับหมามั้ย" อีกคนอึ้ง ตอบ "ไม่" แล้วถามกลับ "หรือคุณเคย?" คนแรกตอบ "บ้าเรอะ อุบาทว์ตายชัก ที่ถามก็แค่อยากชวนคุย"

Feb 15, 2015

มีวัตถุมากมายที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อสร้างความสุข แต่สุดท้ายมันกลับทำให้ความสุขยิ่งห่างหายไป ตัวอย่างล่าสุดคือจิ๋มกระป๋องแบบสั่นได้ เคียงคู่กับจู๋เทียมไฟฟ้า อุปกรณ์ช่วยตัวเองหน้าตาคล้ายกระบอกไฟฉาย (เราจึงไม่รู้สึกอับอายเวลาพกมันไปไหนมาไหน) คุณก็แค่ยัดจู๋เข้าช่องเปิดทางด้านบน กดปุ่ม แล้วอุปกรณ์จะสั่นจนคุณเสร็จ สินค้าชนิดนี้มีให้เลือกหลากสี ขนาด และดีไซน์ (มีขน ไม่มีขน เป็นต้น) เลียนแบบช่องทางสอดใส่สามช่องทางหลัก (ปาก จิ๋ม และรูทวาร) สิ่งที่เราซื้อเป็นเพียงวัตถุไม่เต็มส่วนเท่านั้น (เฉพาะส่วนกระตุ้นการเสพสังวาส หรือ erogenous zone) ลดทอนส่วนอื่น ๆ ที่น่าอับอายอันประกอบกันเป็นคนออกไป เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเราจะบรรลุความพึงพอใจในโลกใหม่ที่บั่นทอนปัจจัยพื้นฐานของชีวิตคู่ได้อย่างไร ผมว่าคำตอบสุดท้ายน่าจะเป็นการยัดจู๋เทียมเข้าไปในจิ๋มกระป๋องแล้วเปิดสวิตช์ให้ทั้งคู่สั่น ยกความสำราญทั้งหมดให้กับคู่อุดมคติคู่นี้ไป ส่วนคู่มนุษย์อย่างเรา ๆ ก็นั่งจิบชาอยู่โต๊ะข้าง ๆ ดื่มด่ำอย่างสงบเสงี่ยมกับความจริงที่ว่า เราได้เติมเต็มหน้าที่ที่จะรื่นเริงบันเทิงใจโดยมิต้องลงแรงสักเท่าไร เผื่อบางทีตอนที่มือของเรากระทบกันขณะรินชา อาจพากันขึ้นเตียงในฐานะเป็นส่วนของความรักใคร่แบบมีตัวตน แล้วดื่มด่ำมันภายนอกขอบเขตของความคาดหวังของอภิอัตตา

Feb 16, 2015

มีมุกเถื่อนร่วมสมัยของชาวบอสเนียว่าด้วยเพลงเฟือเอลิเซ่อ (Für Elise) ของเบโทเฟ่น ล้อบรรดาบรรดาคุณครูยุโรปตะวันตกผู้ "รู้แจ้ง" ที่ถูกส่งไปมอบความเจริญแก่ชาวบอสเนียผู้แสนจะ "ล้าหลัง" ในชั้นเรียนวิชาประวัติศาสตร์ดนตรี ชั้นมัธยมศึกษา ครูสาวคนหนึ่งประกาศหน้าห้องว่า เราจะไม่เรียนเบโทเฟ่นกันแบบเดิม ๆ ล่ะนะ มาลองอะไรที่สร้างสรรค์กันดีกว่า ครูจะให้นักเรียนพูดถึงไอเดียหรือภาพลักษณ์บางอย่าง แล้วบอกชื่อเพลงของเบโทเฟ่นที่เข้ากับไอเดียหรือภาพลักษณ์อันนั้น คนแรกเป็นนักเรียนหญิงเหนียม ๆ เธอว่า "ทุ่งหญ้าเขียวขจี งดงาม ที่อยู่ก่อนถึงป่า กับกวางตัวหนึ่งซึ่งกำลังดื่มน้ำจากลำธาร ... Pastoral Symphony!" เด็กผู้ชายคนต่อมาว่า "สงครามปฏิวัติ, วีรกรรม, เสรีภาพ ... Eroica!" สุดท้าย เด็กชายชาวบอสเนีย "จู๋ใหญ่โตโด่ชูชัน" ครูอารมณ์เสีย ถาม "อะไรของเธอนะ" "สำหรับเอลิซ่า (For Elisa) ยังไงล่ะครับ" (สำหรับย่อหน้าที่สองของตอนนี้ Žižek บอกว่า คำตอบของเด็กชายคนสุดท้ายเป็นไปตาม logic of the phallic signifier ที่ร้อยเหตุการณ์ทั้งหมดเข้าด้วยกัน ไม่ใช่เพราะมันพูดถึงอวัยวะอันนั้นโดยตรง แต่เป็นเพราะมันตบมุกโดยการเลื่อนจากอุปลักษณ์ (metaphor) ไปเป็นนามนัย (metonymy) กล่าวคือ นักเรียนสองคนแรกให้ความหมายแบบอุปลักษณ์ (เช่น Pastoral Symphony บ่งชี้หรือทำให้ท้องทุ่งกับลำธารปรากฎขึ้นมา) ขณะที่คำจู๋โด่ของเด็กบอสเนียไม่ได้หมายถึงเอลิซ่า และไม่ทำให้เอลิซ่าปรากฎขึ้นมา แต่มันเป็นสิ่งที่จะถูกใช้เพื่อปรนเปรอทางเพศแก่เธอ นอกจากนี้ Žižek ยังว่า เรื่องดังกล่าวแสดงนัยคุณครูคนนั้นขาดผู้ชาย หล่อนต้องการคู่นอนดี ๆ สักคนไว้คอยห้ามไม่ให้สั่งงานงี่เง่า ๆ อย่างนี้แก่นักเรียน ... เราอ่านแล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกนะ)

Feb 18, 2015

ในคำนำหนังสือ Žižek's Jokes (MIT Press, 2014), Instead of Introduction: The Role of Jokes in the Becomming-Man of the Ape มีเรื่องสั้นชื่อ Jokester ของ Asimov ถูกอ้างถึง โดยก่อนหน้านั้น Žižek บอกว่า ในมุมมองทางเทววิทยา พระเจ้าคือ Jokester (นักเล่าเรื่องตลก) ขั้นสุดยอด และนี่คือไอเดียหลักของ Asimov ใน Jokester พูดถึงกลุ่มของนักประวัติศาสตร์ภาษาที่เชื่อว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาจากลิงโดยการเล่าเรื่องตลกให้ลิงฟัง และนักประวัติศาสตร์ภาษากลุ่มนี้ก็พยายามจะสร้างเรื่องตลกเรื่องดังกล่าว ซึ่งเป็นมารดาของเรื่องตลกทั้งมวล ขึ้นมาใหม่

เราไม่แน่ใจว่านี่เป็น Jokester เรื่องเดียวกับที่เราอ่านมั้ยนะ ใน Jokester ของ Asimov ฉบับที่เราอ่าน จะพูดถึงคอมพิวเตอร์ Multivac (เจ้า Multivac นี่ไปปรากฎตัวอยู่ในหลายเรื่องนะฮะ) ที่สามารถตอบได้ทุกปัญหา ถ้าคำถามที่ถามมันนั้นเป็นคำถามที่มีความหมาย (meaningful questions) แล้วตามท้องเรื่องเรื่องนี้ พวกเราก้าวหน้าไปจนถึงขั้นที่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตั้งคำถามที่มีความหมาย คนที่สามารถตั้งคำถามแบบนั้นได้มีเพียงอัจฉริยะแค่หยิบมือ เรียกว่า Grand Master พระเอกที่เป็น GM เล่าเรื่องตลกให้ Multivac ฟัง ซึ่งเป็นการป้อนข้อมูล แล้วตั้งคำถาม 2 คำถาม คำถามที่ 1. เรื่องตลกมีต้นกำเนิดมาจากไหน เพราะทุกคนที่เล่าเรื่องตลกไม่ใช่คนสร้างเรื่องตลก เราแค่เล่ามันจากที่ได้ยินมาจากสักแห่ง ความคิดที่ว่ามีคนเขียนเรื่องตลกจึงเป็นอะไรที่พารานอยตามคำของ Žižek นะฮะ คือมันแสดงถึงการมี "ความเป็นอื่นของความเป็นอื่น" (Other of the Other) คำถามที่ 2. จะเกิดอะไรขึ้นกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ ถ้าเรารู้คำตอบของคำถามแรก Multivac ตอบ 1. เรื่องตลกทั้งหมดมาจากนอกโลก มาจากมนุษย์ต่างดาว มนุษย์ต่างดาวใช้เรื่องตลกที่ฝังในหัวของพวกเราบางคนเพื่อศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ ทำนองเดียวกับที่เราใช้เขาวงกตศึกษาพฤติกรรมของหนู 2. มันจะถูกยกเลิก และไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเรื่องตลกอีกต่อไป, Asimov เขียนจบด้วย พวกที่รู้คำตอบมองเห็นโลกหดเล็กลงเหมือนกรงหนูทดลองที่เขาวงกตถูกยกออกไปแล้ว และบางสิ่งกำลังจะถูกใส่เข้ามาแทน

Žižek's Jokes กับ McGuffin

ฮิตช์ค็อกเล่าเรื่องตลกที่ตั้งชื่อให้กับวัตถุที่เรียกว่า McGuffin ซึ่งเป็นเรื่องตลกใน strangers on a train เรื่องเดียวกันนี้ยังจบได้อีกแบบ แบบยูโกสลาเวีย "ห่ออะไรอยู่บนชั้น" "แม็คกัฟฟิน" "เอาไว้ทำอะไร" "ฆ่าสิงโตในไฮแลนด์" "ไม่มีสิงโตในไฮแลนด์นี่" จบแบบที่ 1: "งั้นก็ไม่มีแม็คกัฟฟิน" จบแบบที่ 2: "นั่นแหละ ถูกแม็คกัฟฟินฆ่าตายหมด"

Feb 22, 2015

มีเรื่องตลกจากต้นช่วงทศวรรษ 1960 อยู่เรื่องหนึ่ง พูดถึงปฏิทรรศน์ของความเชื่อ (presupposed belief) ได้ดีทีเดียว หลังจากยูริ กาการิน นักบินอวกาศคนแรกเดินทางกลับมายังโลก มีเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์นิกิตา ครุสชอฟ ให้การต้อนรับ เขาบอกครุสชอฟเป็นการส่วนตัวว่า "สหายรู้ไหม บนฟ้านั่น ผมเห็นสวรรค์ มีพระเจ้ากับเหล่าเทวดา พวกคริสเตียนว่าไว้ไม่ผิดเลย" ครุสชอฟกระซิบตอบ "ผมรู้ ผมรู้ แต่เหยียบไว้นะสหาย อย่าบอกใคร" หนึ่งสัปดาห์ต่อมา กาการินไปเยือนวาติกัน โป๊ปให้การต้อนรับ เขาแอบบอกโป๊ปว่า "คุณพ่อรู้ไหมครับ ผมขึ้นไปบนนั้นมาแล้ว ไม่เห็นมีพระเจ้าหรือเทวดา ... " "พ่อรู้ พ่อรู้" โป๊ปเบรก "เหยียบไว้ลูกเอ๊ย ห้ามบอกใคร"

Feb 22, 2015

เราสามารถเอาเฮเกลเลี่ยนทรัยแอดเข้าไปจับกับท่อนหนึ่งจากเพลงสดุดี (Psalms) 23:4 "ต่อให้เดินผ่านหุบเขาแห่งความตาย ข้าพระองค์ก็หาหวาดหวั่นไม่ ด้วยพระองค์สถิตอยู่กับข้าพระองค์ คทาและธารพระกรของพระองค์ช่วยให้ข้าพระองค์คลายใจ" นิเสธแรกจะเป็นการสวนกลับแบบสุดโต่งของสถานะเชิงอัตวิสัย (อย่างในแบบแร็ปเปอร์ย่านชุมชนแออัด) "ต่อให้เดินผ่านหุบเขาแห่งความตาย ข้าก็หาหวาดหวั่นไม่ ด้วยในหุบเขานี้ ข้าชั่วและน่ากลัวที่สุดแล้ว" สุดท้าย ก็มาถึงนิเสธของนิเสธที่จะเปลี่ยนทิศทางทั้งหมดผ่านการรื้อสร้าง (deconstructing) คู่ตรงข้ามระหว่างความดี (Good) กับความชั่ว (Evil) "ต่อให้เดินผ่านหุบเขาแห่งความตาย ข้าก็หาหวาดหวั่นไม่ ด้วยข้ารู้ว่าความดี-ชั่วเป็นเพียงคู่ตรงข้ามทางอภิปรัชญา" จากเรื่องนี้ เราโน้ตเพิ่มเติม 2 ข้อ 1. Hegelian triad ประกอบด้วย thesis, antithesis กับ synthesis โดย thesis คือ ข้อความตั้งต้น, antithesis เป็นนิเสธของ thesis ซึ่งเป็นปฏิกิริยาต่อข้อความตั้งต้น ส่วน synthesis เป็นความพยายามที่จะหาทางออกเก๋ ๆ ให้กับ thesis กับ antithesis โดยการมองหาตัวร่วมเพื่อสร้าง thesis ใหม่ 2. ท่อน antithesis นั้น เป็นโควตจากหนังปี 1989 เรื่อง Casualties of War บทพูดของฌอน เพนน์ เฮียแกแหงนหน้ามองฟ้าในคืนฝนตก "Even though I walk through the valley of the shadow of death, I will fear no evil, for I am the meanest motherfucker in the whole valley!"


bottom of page