
สตีเว่น คิง ทวิตข้อความ “A Head Full of Ghosts scared the living hell out of me, and I’m pretty hard to scare.” หลังอ่านนิยายเล่มนี้ นี่เป็นเหตุผลที่เพียงพอ (และสำหรับบางคน ... เหตุผลที่จำเป็น) ให้คอนิยายสยองขวัญหามาอ่านกันล่ะ A Head Full of Ghosts เป็นหนังสือที่พูดถึงการเขียนหนังสือสารคดีเล่มหนึ่งที่พูดถึงเหตุการณ์ประหลาดซึ่งเกิดขึ้นกับครอบครัวหนึ่งเมื่อสิบห้าปีที่แล้ว โดยผู้เขียนหนังสือ (หมายถึงตัวละครในหนังสือของ Tremblay นะ) กำลังสัมภาษณ์ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากเหตุการณ์ดังกล่าว เหตุการณ์นี้คือ มาร์จอรีลูกสาวคนโตของครอบครัวบาเร็ตถูกผีเข้า แล้วตามด้วยถูกวางยาพิษตายเกือบหมดบ้าน ผู้รอดชีวิตคือลูกสาวคนเล็กซึ่งขณะนั้นอายุแค่ 8 ขวบ ตอนเกิดเรื่องผีเข้า มีรายการทีวีเรียลลิตี้มาถ่ายทำ และสิบห้าปีให้หลังก็มีบล็อกเกอร์สาวคนหนึ่งออกมาวิจารณ์รายการทีวี พูดเจาะจงนะ เธอรื้อสร้างรายการโชว์นั่นผ่านการวิเคราะห์ฉากและความหมายโดยเทียบเคียงกับนิยายและหนังสยองขวัญร่วมสมัย (ถึงจุดนี้ คนอ่านที่ชื่นชอบหนังสือและหนังสยองขวัญเป็นทุน และที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผู้เขียน ตีว่าปลายสามสิบถึงห้าสิบจะอินเป็นพิเศษ) เห็นว่าโครงสร้างนิยายค่อนข้างซับซ้อน มีหลาย pov แต่จะพูดว่ามีลักษณะแบบราโชมอนก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะ ... (...) เหนืออื่นใด เรื่องทั้งหมดถูกสร้างโดยที่เราไม่มีทางรู้ว่ามีความจริงผสมอยู่เท่าไร คุณจะเอาความจริงจากทีวีโชว์ จากเด็กแปดขวบที่เจอเรื่องสะเทือนใจ หรือจากบล็อกเกอร์ที่มีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงอยู่ได้เหรอ
ทักษะการเล่าและการรับมือกับโครงสร้างแบบนี้ เราว่า Tremblay ทำได้ยอดเยี่ยม น่าเชื่อถือมาก แถมใช้พล็อตและบทเพื่อวิจารณ์อะไรหลาย ๆ อย่าง อำนาจของสื่อ ความเครียดของคนตกงาน อาการจิตเภท เป็นต้น ได้ในหมัดเดียว คือหมัดผีเข้า ถึงขั้นทำให้ผีที่สิงมาร์จอรี (ถ้ามี) ดูเป็นผีอนุบาลไปเลยเมื่อเทียบกับสิ่งที่มาร์จอรีบอกว่าเป็นสิ่งที่เข้าครอบงำเธอ เป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนและเก่าแก่ ... ความคิด
Denying the Antecedent ใน A Head Full of Ghosts
วันที่ 30 ธ.ค. 2558 อ่านมาถึงหน้า 230 ใน A Head Full of Ghosts ของ Paul Tremblay ถึงกับอมยิ้ม ทั้ง ๆ ที่สถานการณ์ค่อนข้างชวนลุ้นและคาดเดาได้ยาก ตอนนี้ คุณพ่อวันเดอร์ลีกำลังไล่ผีที่สิงเด็กหญิงมาร์จอรี ขณะทำพิธีอยู่นั้น นางก็กัดคุณพระผู้ช่วย แม่ถาม "Marjorie, you promised. You promised no one would get hurt if Merry was here." (มาร์จอรี หนูสัญญาแล้วนะว่าจะไม่ทำร้ายใครถ้าแมรี่เข้าร่วมพิธีด้วย) มาร์จอรีเถียง "No I didn't. That's not what I said. Check the tape." (เปล่านะ หนูไม่ได้พูดสักหน่อย ลองเช็คเทปสิ) คือตอนทำพิธีไล่ผีนี่นะฮะ มีรายการทีวีมาบันทึกเทปด้วย นางอรรถาธิบายต่อ "I said someone would get hurt bad if Merry wasn't here." (หนูพูดว่าใครบางคนเจ็บตัวแน่ ๆ ถ้าแมรี่ไม่เข้าร่วมพิธี) ผมว่านี่เป็นตัวอย่างที่ดีอันหนึ่งของ denying the antecedent ซึ่งเป็น fallacy ประเภท formal โดย logical form ของมันคือ คนหนึ่งพูด p ⇒ q ส่วนอีกคนหนึ่งทึกทักเอาเองว่าคนนั้นหมายถึง ¬p ⇒ ¬q ตรรกะที่คนหลังใช้เป็น fallacy จากตัวอย่างนี้ถ้าให้ p = แมรี่ร่วมพิธี, q = มีคนเจ็บตัว มาร์จอรีแค่พูดว่า ¬p ⇒ q ทีนี้ แม่ตั้งคำถามตอนมาร์จอรีกัดพระว่าเธอพูด p ⇒ ¬q ไม่ใช่เหรอ (เป็น denying the antecedent) เธอจึงปฏิเสธว่าไม่ ถ้าเราเล่นกับ logical form ของ denying the antecedent นิดหน่อยเราสามารถพูดว่ามันคือ false exclusionary disjunct ได้ฮะ false exclusionary disjunct เป็น formal fallacy เหมือนกัน และอยู่ใน form คนหนึ่งพูด p ∨ q เมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นคือ p ทำให้อีกคนหนึ่งจึงทึกทักเอาเองว่า ¬q (แมรี่เข้าร่วมพิธีแล้ว = p ฉะนั้นต้องไม่มีใครเจ็บตัว = ¬q) โดยที่ความสัมพันธ์ระหว่าง false exclusionary disjunct กับ denying the antecedent อยู่ที่ ¬p ∨ q สมมูลกับ p ⇒ q นั่นคือ ทั้งคู่ทำให้บางคนเข้าใจผิดว่า ¬p นำไปสู่ ¬q