top of page

ณ ที่สิ้นสุดของบางสิ่ง กับ The Sense of an Ending


ณ ที่สิ้นสุดของบางสิ่ง


ผมอ่านฉบับแปลไทยไปได้ประมาณ 25% ก็หยุดอ่าน อ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง เมื่อลองเปรียบเทียบกับต้นฉบับ พบว่า เป็นงานแปลที่มีจุดผิดพลาดเยอะมาก ประกอบกับไม่ประทับงานที่ พอเจอ theory, prove, impression, calculate ก็แปลเป็น ทฤษฎี พิสูจน์ ประทับใจ คำนวณ ไปเสียหมด เช่น she was and always had been calculating เธอคิดคำนวณทุกสิ่งเสมอมา เราว่าภาษาไทยแบบนี้ทื่อและคลุมเครือ ขณะที่ภาษาอังกฤษ ไม่, หรือ it proved an aimless day พิสูจน์แล้วว่ามันเป็นวันไร้เป้าหมาย เราว่า prove ในกรณีแบบนี้ก็คือ be เป็น linking verb การแปลว่าพิสูจน์ นอกจากจะไม่สวยแล้วยังชวนงง เพราะตามความเข้าใจของเรา คำว่าพิสูจน์ในภาษาไทยมีสเปกตรัมของความหมายแคบกว่าสเปกตรัมของความหมายของคำว่า prove ในภาษาอังกฤษ มีความคิดหนึ่งแวบเข้ามา โตมรถูกแอบอ้างว่าแปลเล่มนี้รึเปล่า หรือมีน้อง ๆ มัธยมในสังกัดแปลแล้วอาศัยชื่อเขาขาย จะเป็นไปได้ไหม เราว่า Julian Barnes เขียนดีมาก และเราหนักใจแทนคนแปลจริง ๆ ไม่ว่าใครคือตัวจริงที่แปล

ณ ที่สิ้นสุดของบางสิ่ง สำหรับเราจึงเป็นงานฉบับมือไม่ถึงของ The Sense of an Ending นี่พูดด้วยความเสียดายนะฮะ ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างจากบางส่วนที่พบใน 25% แรก (ประมาณแค่ 40 หน้าเองนะ แปลผิดเกือบทุกหน้า) ถ้ามีการจัดพิมพ์ใหม่ ขอส่งกำลังใจให้ บ.ก. ล่วงหน้าครับ

หมายเหตุ อักษรตัวเอียงสีชมพูทั้งหมดเป็นสำนวนแปลของโตมร และข้อท้าย ๆ หลายข้อ ผมไม่ได้เขียนอธิบายว่าผิดตรงไหน ข้อเหล่านี้ผมเคยโพสต์เป็นเกมให้เล่นจับผิดกันในกลุ่มเพื่อน facebook

1. Old Joe Hunt ครูสอนประวัติศาสตร์ถามนักเรียนในชั้น "Who might like to offer a characterisation of the age?" หลังจากมอบหมายให้นักเรียนอ่านเหตุการณ์สมัยพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 งานนี้ มาร์แชลซวย ต้องตอบคำถาม และมาร์แชลเป็นเด็กทึ่ม 'มีเหตุการณ์ไม่สงบครับ' เกิดรอยยิ้มที่แทบควบคุมไม่ได้ขึ้นทั่วห้อง กระทั่งฮันต์เองก็เกือบยิ้ม 'เธอช่วยขยายความหน่อยได้ไหม' มาร์แชลพยักหน้าตกลงช้า ๆ เขายิ่งคิดนานขึ้น จนเห็นว่าไม่เหลือเวลาให้คิดอีกแล้ว 'ผมคงพูดได้ว่า มีความไม่สงบครั้งใหญ่เกิดขึ้นครับ' 'ถ้าอย่างนั้น ฟินน์ล่ะ เธอมีความเห็นอย่างไรกับยุคนี้ไหม' เด็กใหม่นั่งถัดจากผมไปด้านหน้าหนึ่งแถวทางซ้ายมือ เขาไม่ได้แสดงปฏิกิริยาต่อความโง่ของมาร์แชลให้เห็นชัดเจนนัก 'ก็ไม่เชิงครับ ผมเกรงอย่างนั้น แต่มีความคิดเกี่ยวเนื่องอย่างหนึ่งที่เราทุกคนพอพูดถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ได้ - รวมถึงการปะทุขึ้นของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งด้วยว่า - "มีบางสิ่งเกิดขึ้น"' 'เป็นอย่างนั้นจริงหรือ ถ้าอย่างนั้น ฉันก็คงบกพร่องหน้าที่สินะ' หลังจากหัวเราะหึ ๆ แล้วโอลด์ โจฮันต์ก็โทษความเกียจคร้านในวันหยุดของเรา และอัดความรู้ใส่เราด้วยเรื่องของกษัตริย์นักฆ่าผู้มากเมีย' สารภาพว่าเราเชื่อมโยง คำถาม คำตอบของบทสนทนาเหล่านี้ให้สอดคล้องกันอย่างลงตัวไม่ได้เลย จนกระทั่งอ่านต้นฉบับ พอครูถามฟินน์ ฟินน์ตอบว่า 'ก็ไม่เชิงครับ ผมเกรงอย่างนั้น' นี่เป็นคำตอบของ 'เธอมีความเห็นอย่างไรกับยุคนี้ไหม' ได้ยังไง ต่อมา 'แต่มีความคิดเกี่ยวเนื่องอย่างหนึ่ง ...' ความคิดเกี่ยวเนื่องในที่นี้หมายถึงอะไรกัน แล้วทำไมคุณครูถึงได้ตอบโต้ด้วย 'ถ้าอย่างนั้น ฉันก็คงบกพร่องหน้าที่สินะ' พอลองอ่านต้นฉบับ หลังจากที่มาร์แชลตอบครั้งที่ 2 คุณครูถามฟินน์ "Finn, then. Are you up in this period?" ฟินน์จึงตอบว่า "Not really, sir, I'm afraid." พออ่านแบบนี้แล้วมันลงตัว ตามความเข้าใจของเรานะ "Are you up in this period?" ที่ครูถามฟินน์ ไม่ได้ถามความเห็น ไม่ใช่ 'เธอมีความเห็นอย่างไรกับยุคนี้ไหม' แต่ถามว่า เธอพอใจกับคำตอบนี้ของมาร์แชลรึเปล่า แล้วฟินน์ตอบว่า ก็ไม่เชิงครับ เกรงว่าผมจะเห็นด้วยบางส่วน จากนั้นจึงให้เหตุผลต่อว่า "But there is one line of thought according to which all you can truly say of any historical event---even the outbreak of the First World War, for example---is that 'something happened.'" ประโยคนี้เราแปลไม่ค่อยตรงกับบทแปลข้างบนนัก เราเข้าใจว่า (ขอแปลเรียงตามโครงสร้างภาษาอังกฤษโดยยังไม่ปรับให้อ่านง่ายด้วยภาษาไทย เพื่อความสะดวกในการเปรียบเทียบ) มีความคิดอยู่กลุ่มหนึ่งนะครับ ที่เมื่อว่ากันตามความคิดกลุ่มนี้แล้วนั้น ทั้งหมดที่เราสามารถพูดได้อย่างแท้จริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ทุกเหตุการณ์ แม้แต่การเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเป็นต้น คือ 'มีบางสิ่งเกิดขึ้น' ครูจึงตอบกลับว่า "Is there, indeed?" มีความคิดกลุ่มนั้นอยู่จริงเหรอ แล้วพูดกึ่งประชดต่อ "Well, that would put me out of a job, wouldn't it?" ถ้ามีความคิดแบบนั้น (ความคิดที่เชื่อว่า ทั้งหมดที่เราสามารถพูดได้จริง ๆ เกียวกับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ใด ๆ มีเพียงแค่ 'มีบางสิ่งเกิดขึ้น') พวกครูประวัติศาสตร์ก็คงตกงานกันสินะ ฉันก็คงตกงานสินะ หลังจากนั้น ..., Old Joe Hunt pardoned our holiday idleness [...] ตรงนี้คุณครูน่าจะยกโทษ มากกว่า 'โทษความเกียจคร้านในวันหยุดของเรา' รึเปล่า (นึกภาพต่อเนื่องว่า ครูถามเด็กคนหนึ่ง ได้คำตอบที่ดูทึ่ม ๆ เลยถามเด็กอีกคนว่าเห็นด้วยกับคำตอบนั้นมั้ย โดยคาดหวังคำตอบว่าไม่เห็นด้วย เพราะเด็กส่วนใหญ่ปล่อยหัวเราะให้กับความงี่เง่าของคำตอบดังกล่าวออกมา แต่เด็กคนที่สองกลับตอบ ก็เห็นด้วยนะ และให้เหตุผลประกอบ ครูคงอึ้งเล็กน้อย ปล่อยมุก แล้วหัวเราะแบบประจบประแจง sycophantic laughter จากนั้นตัดบท ยกผลประโยชน์ให้จำเลย แล้วสอนหนังสือต่อ) ยังมีจุดเล็ก ๆ ตรงท่าที่ของฟินน์ต่อคำตอบของมาร์แชล โตมรแปลว่า เขาไม่ได้แสดงปฏิกิริยาต่อความโง่ของมาร์แชลให้เห็นชัดเจนนัก ซึ่งตีความได้ว่า ฟินน์แสดงท่าที แต่เห็นไม่ชัดเจนนัก ขณะที่ต้นฉบับว่า He had shown no evident reaction to Marshall's idiocies. โดยส่วนตัว เรามองว่า 2 ประโยคนี้มีความหมายไม่เท่ากัน

2. อีกรายละเอียดหนึ่งที่ผมจำได้คือเราสามคนเคยสวมนาฬิกาข้อมือโดยหันหน้าปัดเข้าหาข้อมือ เป็นสัญลักษณ์ความสัมพันธ์ในกลุ่ม แน่นอนว่ามันเป็นเหมือนความคลั่งไคล้ แต่อาจมีบางอย่างมากกว่านั้น มันทำให้เวลาเป็นเรื่องส่วนตัวหรือแม้กระทั่งเป็นความลับด้วยซ้ำ เราหวังให้เอเดรียนสังเกตพบและทำตาม แต่เขาไม่เคยทำ อ่านแล้วติดขัด สะดุดนิดหน่อยว่าทำไมต้องเป็นเหมือนความคลั่งไคล้ กะอีแค่ใส่นาฬิกาให้หน้าปัดอยู่บนข้อมือด้านใน (to wear our watches with the face on the inside of the wrist) นี่นะ พอลองพลิกดูต้นฉบับ It was an affectation, of course, but perhaps something more. ที่มันกลายเป็นความคลั่งไคล้ ใช่เพราะตาลายตอนอ่านคำที่ทำตัวหนานั่นรึเปล่า :P

3. ผมจำได้ว่าเมื่อเราถกเถียงกันถึงบทกวีของเท็ด ฮิวจ์ส เขาครุ่นคิดถึงวรรคหนึ่งซึ่งเข้มข้นมากและพึมพำว่า 'ใช่ เราทุกคนต่างสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาเขียนถึงสัตว์ไปหมดโลกแล้ว' And I remember how, when we were discussing Ted Hughes's poetry, he put his head at a donnish slant and murmured, "Of course, we're all wondering what will happen when he runs out of animals." he put his head at a donnish slant and murmured น่าจะแปลว่า เขาทำคอเอียงอย่างนักวิชาการแล้วพูดอุบอิบว่า วรรคหนึ่งซึ่งเข้มข้นมาก ก็หาไม่เจอว่ามาจากตรงไหน ไม่มีในต้นฉบับ

4. 'ผมแค่คิดว่ามันเป็นบทกวีเกี่ยวกับนกฮูกน่ะครับ' "I just thought it was a poem about a barn owl, sir." a barn owl นกแสกตัวหนึ่ง หรือ นกเค้าหน้าลิงตัวหนึ่ง ดีกว่านกฮูก (หรือนกเค้าแมว) เพราะตรงมากกว่า นี่เป็นจุดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่หาข้อมูลไม่ยาก นกแสกเป็นนกฮูกชนิดหนึ่ง นกฮูกใช้เรียกนกในระดับอันดับ นกแสก หรือ barn owl ใช้เรียกในระดับสปีชีส์ เปรียบเทียบการเรียกนกแสกว่านกฮูกก็เหมือนเรียกคนว่าไพรเมตหรือวานรนั่นแหละครับ

5. ปกติเราห่วยแตก ยกเว้นเวลาเราจริงจัง ปกติเขาจริงจัง ยกเว้นเวลาเขาห่วยแตก We were essentially taking the piss, except when we were serious. He was essentially serious, except when he was taking the piss. taking the piss ไม่น่าจะแปลว่า ห่วยแตกนะ แค่ทำเป็นเล่น ทำเป็นเรื่องตลก ไม่ซีเรียสจริงจัง ก็พอมั้ง

6. เอเดรียนปล่อยให้ตัวเองถูกดึงดูดเข้ากลุ่มเราโดยไม่รู้ว่านั่นคือสิ่งที่เขาเสาะหา บางทีเขาอาจไม่รู้จริง ๆ Adrian allowed himself to be absorbed into our group, without acknowledging that it is was something he sought. Perphaps he didn't. Nor did he ... ประโยค Perhaps he didn't. ปฏิเสธว่า บางทีเขาอาจไม่ได้อยากเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม (ภาษาอังกฤษใช้ Nor ตามมาในประโยคถัดไปเพื่อแนะนำประโยคปฏิเสธที่ต่อเนื่องกัน) ไม่ใช่ บางทีเขาอาจไม่รู้จริง ๆ ซึ่งเป็นประโยคที่ไม่ได้ปฏิเสธอะไรในประโยคแรกเลย ถ้าขยายประโยคภาษาอังกฤษนี้ ก็จะได้ทำนอง Perhaps he did not seek to be part of the group.

7. เราเป็นพวกหูหนวกที่ชอบทะเลาะกันเอง แต่เขามาโรงเรียนพร้อมคลาริเน็ต We were belligerently tone-deaf; he came to school with his clarinet. ในย่อหน้านี้ ผู้เขียนต้องการชี้ภาพความแตกต่างระหว่างพวกเรา 3 คนกับเอเดรียน การอ่านข้อความภาษาไทย เราเป็นพวกหูหนวก... แต่เขา... นั้น ดูแปลกชอบกล จะว่าแตกต่างก็แตกต่างนั่นแหละ แต่มันคนละเรื่องกัน tone-deaf หมายถึง แยกโทนไม่ออก ประโยคมันน่าจะหมายถึง พวกเราไม่กระดิกหูในเรื่องดนตรีเลย แต่เขามาโรงเรียนพร้อมคลาริเน็ต

8. โคลินประณามครอบครัวตัวเอง ผมล้อเลียนระบบการเมือง อเล็กซ์แสดงความเห็นเชิงปรัชญาเพื่อคัดค้านธรรมชาติของความจริงซึ่งมักเข้าใจกันโดยทั่วไปอยู่แล้ว ส่วนเอเดรียนจะคอยให้คำปรึกษา - อย่างไรเสียในขั้นแรก เขาทำให้เราประทับใจที่เขาเชื่อสิ่งต่าง ๆ มากมาย เราก็เชื่อเช่นกัน - เพียงแต่เราอยากเชื่อด้วยตัวเราเองมากกว่าเชื่อสิ่งที่มีผู้ตัดสินใจให้เราเชื่อ ด้วยเหตุนี้เขาจึงเป็นผู้ชำระล้างความลังเลสงสัยของเรา When Colin denounced the family, I mocked the political system, and Alex made philosophical objections to the perceived nature of reality, Adrian kept his counsel---at first, anyway. He gave the impression that he believed in things. We did too---it was just that we wanted to believe in our own things, rather than what had been decided for us. Hence what we thought of as our cleansing scepticism. 2 ประโยคนี้ยังอยู่ในย่อหน้าเดิม และอยู่ภายใต้เจตนาเดิม คือ ต้องการชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างพวกเรา 3 คนกับเอเดรียน ประโยคในภาษาอังกฤษส่งมอบเจตนาของผู้เขียนถึงผู้อ่านชัดเจนครับ แต่ภาษาไทยบิดเบี้ยว ส่วนเอเดรียนจะคอยให้คำปรึกษา... มันแสดงความแตกต่างยังไงในสิ่งที่ Colin, I และ Alex กระทำ? ตัวอย่างที่ผู้เขียนให้ทั้ง 3 คนทำ คือการแสดงความเห็น Colin แสดงความเห็นเกี่ยวกับครอบครัว (ครอบครัวของเขาเองเหรอ? the family ครอบครัวตัวเอง?) I แสดงความเห็นการเมือง ส่วน Alex แสดงความเห็นทางปรัชญา (perceived nature of reality น่าจะหมายถึง ธรรมชาติของความเป็นจริงที่ถูกรับรู้ ทำให้เราเดาว่า Alex พูดถึงประเด็นทางภววิทยาหรืออภิปรัชญา ไม่น่าจะอยู่ในระดับ ซึ่งมักจะเข้าใจกันโดยทั่วไปอยู่แล้ว) พอถึง Adrian kept his counsel---at first, หมายถึง เอเดรียนเป็นพวกไม่แสดงความเห็น อย่างน้อยก็ในตอนแรก (---at first) (ถ้าให้ ว. ณ เมืองลุง แปล ผมเดาว่า แกจะแปลให้เอเดรียนมีบุคลิก งำประกาย :P) ไม่แน่ใจว่า ด้วยเหตุนี้เขาจึงเป็นผู้ชำระล้างความลังเลสงสัยของเรา แปลจากประโยคไหน เราเข้าใจว่า (อาจจะเข้าใจผิดก็ได้นะ) Hence what we thought of as our cleansing scepticism. หมายถึง นั่นคือการตั้งข้อสงสัยไปเสียทุกเรื่องของพวกเรา ต่อมาเป็นประเด็นเล็ก ๆ น้อย ๆ เครื่องหมาย hyphen พอเอามาใช้ในภาษาไทยแล้วงงมาก เพราะภาษาอังกฤษยังมี จุด ให้รู้ว่า hyphen แยกกัน แต่ภาษาไทยไม่มีจุด ถ้าเป็นเรา เราอ่านแล้วเข้าใจแบบนี้ He gave the impression that he believed in things. เขาดูเป็นคนที่มีศรัทธาในสิ่งต่าง ๆ We did too พวกเราก็ศรัทธาในบางสิ่งเหมือนกันนะฮะ ---it was just that we wanted to believe in our own things, rather than what had been decided for us. เพียงแต่เราอยากเลือกสิ่งที่เราจะศรัทธาเอง ไม่อยากให้ใครมาเลือกให้

9. คุณคิดอย่างไรกับคำแปลนี้ no electronic devices ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้า Back then, things were plainer: less money, no electronic devices, little fashion tyranny, no girlfriends. electric หรือ electrical devices กับ electronic devices? เป็นประเด็นเล็กน้อยที่ให้อภัยได้ แต่สะท้อนความประณีตของงานแปล

10. คุณคิดอย่างไรกับคำแปลนี้ our human and filial duty หน้าที่ของมนุษย์อันสืบสันดานกันมา There was nothing to distract us from our human and filial duty, which was to study, pass exams, use those qualifications to find a job, and then ...

11. คุณคิดอย่างไรกับคำแปลนี้ .., and then put together a way of life unthreateningly fuller than that of our parents แล้วไขว่คว้าหาหนทางในชีวิตที่ไม่อาจล้ำหน้าเหนือพ่อแม่ของเรา

ประโยคนี้ต่อจากประโยคหน้าที่ของลูกที่ดีในประโยคก่อนหน้านะฮะ

12. คุณคิดอย่างไรกับคำแปลนี้ genteel social Darwinism of the English middle classes วิวัฒนาการทางสังคมอันแสนสุภาพของชนชั้นกลางอังกฤษ ลองกูเกิ้ลดูความหมายของ social Darwinism ครับ

13. เขาบอกเราว่าร็อบสันเป็นดอกไม้แห่งวัยเยาว์ที่ถูกตัดไป he told us that Robson had been cut down in the flower of youth

14. แต่ตอนนี้เขาทำร้ายเราโดยทำให้ชื่อของเขาเกี่ยวพันกับความตายแต่เยาว์วัย Now he had offended us by making a name for himself with an early death

15. ไม่กี่วันต่อมา ข่าวลือ (อีกชื่อหนึ่งคือบราวน์เด็กสายคณิตศาสตร์ ม.ศ.5) ให้ข้อมูลที่ทางการไม่สามารถให้ได้ หรือไม่ก็ไม่ยอมให้ a few days later rumour (a.k.a Brown of the Maths Sixth) supplied what the authorities couldn't, or wouldn't

16. แต่ทำให้หายใจไม่ออกนานขึ้น Just takes longer to suffocate you.

17. อเล็กซ์โต้กลับสนุก ๆ There was an edge to Alex's riposte.

18. มันเป็นปรัชญาได้เฉพาะในเชิงคณิตศาสตร์เท่านั้น it could only be considered philosophical in an arithmetical sense of the term ที่จริงจุดนี้เป็นจุดเล็กน้อย เพราะบางคนแยกความแตกต่างระหว่าง arithmetic กับ mathematics ไม่ออก ซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไร สำหรับคำภาษาไทยที่เราใช้ ๆ กันในหนังสือเรียนเลขมัธยมนั้น arithmetic คือ เลขคณิต (มันเป็นแขนงหนึ่งของคณิตศาสตร์ที่ว่าด้วยการบวกลบจำนวนอะไรทำนองนั้น ซึ่งถ้าแปลแบบเนี๊ยบ ๆ ก็จะรับกับข้อความถัดไปที่อธิบายว่าเกิดหนึ่ง ตายหนึ่ง ทำให้จำนวนประชากรเป็นค่าคงที่ และแฝงนัยหยามเหยียดอยู่ในที) เช่น ลำดับเลขคณิต arithmetic sequence

19. เราเห็นว่าร็อบสันทำให้พวกเรา - และการคิดอย่างจริงจังนั้น - ล้มเหลว we judged that Robson had let us---and serious thinking---down.

20. บางทีเราอาจไม่จริงจังกับร็อบสันมากขนาดนี้ Perhaps we wouldn't have been so hard on Robson if ... be hard on sb = จริงจังกับ sb ?!?

21. ฉันจะไปรู้ได้ยังไง เราไม่เคยคุยกันถึงขนาดนั้น แม่เอาแต่พูดถึงลอนดอนตลอด How would I know. We never meet there. She always comes up to London. เพื่อนถามว่าแม่แอบมีผัวเด็กรึเปล่า เอเดรียนตอบ จะไปรู้เหรอ เขาไม่เคยไปเจอแม่ที่นั่น แม่มาหาที่ลอนดอนตลอด

22. นิยายจะมีปมประเด็นที่ทรงคุณค่าอะไรได้เล่า หากตัวละครเอกไม่ทำตัวเหมือนที่เขาควรทำในหนังสือ What was the point of having a situation worthy of fiction if the protagonist didn't behave as he would have done in a book? การแปลแบบภาษาไทยข้างบนนั้น นอกจากจะแสดงว่ามือไม่ถึงแล้ว ยังบ่งบอกว่า อ่านไม่รู้เรื่องด้วย ประโยคดังกล่าวจะแปลให้เข้าใจได้ต้องเข้าใจบริบทข้างหน้ามันก่อน คือ ชีวิตของเอเดรียนนี่นะมีพล็อตยังกะนิยาย แม่ทิ้งไปตั้งแต่เด็ก คนเขียนเลยพูดว่า จะมีพล็อตแบบในนิยายไปทำไมถ้าตัวเอกไม่ทำตัวเหมือนกับตัวเอกในนิยาย

23. นักเรียนจอมเกียจคร้าน lethargic pupils lethargic = เกียจคร้าน ?!? อันนี้เป็นตัวอย่างการเลือกใช้คำที่ดีกรีไม่เท่ากัน ตามความเห็นส่วนตัวนะ

24. สิ่งนั้นนักประวัติศาสตร์ให้ความสำคัญอยู่แล้ว And for that matter historians. จะง่ายขึ้นถ้าเห็นประโยคก่อนหน้า I see the problem, Finn. But I think you underestimate history. And for that matter historians.

25. เมื่อคำนวณจากอายุตอนนี้ given the current life expectancy ประโยคเต็ม ๆ And fifty years from now, given the current life expectancy, quite a few of his schoolfellows would still be available for interview.

26. ในทางหนึ่งก็ไม่มีทาง แต่นักประวัติศาสตร์เองก็ต้องปฏิบัติต่อคำอธิบายเหตุการณ์ของผู้อยู่ในเหตุการณ์ด้วยความสงสัยเท่าเทียมกันด้วย In one way, no. But equally, historians need to treat a participant's own explanation of event with a certain scepticism. จะเข้าใจง่ายขึ้น ถ้าเห็นข้อโต้แย้งก่อนหน้า "But nothing can make up for the absence of Robson's testimony, sir." แล้วครูตอบ "In one way, no. But ..."

27. บ่อยครั้งคำพูดที่เกิดจากการเอาแต่มองอนาคตก็เป็นสิ่งที่น่าสงสัยที่สุด It is often the statement made with an eye to the future that is the most suspect.

28. แม้กระทั่งเรื่องที่น่าจะเป็นวิถีง่าย ๆ อย่างดื่มหน่อยไหม-ออกไปเต้นรำ-เดินไปส่งที่บ้าน-ชวนกันไปดื่มกาแฟ รวมไปถึงความกล้ากร่างที่ผมทำไม่ได้ Even the supposedly simple trail of like-a-drink-fancy-a-dance-walk-you-home-how-about-a-coffee? involved a bravado I was incapable of. สังเกตว่า ภาษาไทยยังไม่เป็นประโยคที่สมบูรณ์

29. แฟนผมชื่อเวโรนิกา แมรี่ เอลิซาเบธ ฟอร์ด ผมต้องใช้เวลาถึงสองเดือนกว่าจะจำชื่อ (ผมหมายถึงชื่อกลางหลายชื่อของเธอ) ได้ My girlfriend was called Veronica Mary Elizabeth Ford, information (by which I mean her middle names) it took me two months to extract.

30. เธอรู้ภาษาสเปน ... She was reading Spanish, ...

31. และชุดแผ่นเสียงสองแผ่นของโดโนแวน (อยู่ในกล่องด้านล่าง) ที่มีชื่อว่า ของขวัญจากดอกไม้สู่สวน and a two-disc boxed set of Donovan called (in lower case) a gift from a flower to a garden.

32. ย้อนกลับไปใน 'ยุคของผม' - ถึงแม้ผมจะไม่ได้อ้างความเป็นเจ้าของช่วงเวลานั้น แต่ช่วงเวลาปัจจุบันผมก็ถือได้ว่าเป็นเจ้าของน้อยลงมาก - สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือคุณพบสาวคนหนึ่ง คุณชอบเธอ คุณเชิญเธอไปออกงานสังคมครั้งสองครั้ง - ตัวอย่างเช่นไปผับ - ... Back in "my day"---though I didn't claim ownership of it at the time, still less do I now---this is what used to happen: you met a girl, you were attracted to her, you tried to ingratiate yourself, you would invite her to a couple of social events---for instance, the pub---...

33. จนถึงสิ่งที่กวีเรียกว่า 'เง้างอนเพื่อแหวนแต่งงาน' up to what the poet called "a wrangle for a ring." the poet คนนั้นคือ Philip Larkin พออ่าน Annus Mirabilis (Sexual intercourse began ...) ประกอบแล้ว โดยส่วนตัว อารมณ์ไม่ค่อยไปกับเง้างอนนะ

34. ในยุคนั้น หนังสือปกอ่อนที่พิมพ์ในรูปแบบดั้งเดิมและมีความโดดเด่นคือหนังสือของสำนักพิมพ์เพนกวินปกสีส้มซึ่งเป็นนวนิยาย และหนังสือของสำนักพิมพ์เพลิแกนปกสีฟ้าซึ่งเป็นเรื่องความรู้เชิงสารคดีต่าง ๆ In those day, paperbacks came in their traditional liveries: orange Penguins for fiction, blue Pelicans for nonfiction.

35. ทั้งหมดนี้ผมมีเล่มที่ใคร ๆ ก็ต้องมีมากพอ เช่น ริชาร์ด ฮ็อกการ์ต ... And overall, I had enough of the right titles: Richard Hoggart, ...

36. ความใกล้ชิดในทุก ๆ วันทำให้ผมภาคภูมิใจกับการกอดจูบ แนวการแต่งตัว มีดโกนของผู้หญิง ความลับและผลที่เกิดจากประจำเดือนผู้หญิง Daily intimacy made me proud of knowing about makeup, clothes policy, the feminine razor, and the mystery and consequences of a woman's periods.

37. และนับตั้งแต่นั้นมาก็แอบอ้างว่าอยู่ในสภาวะชนบท and ever since smugly claimed rural status.

38. คนแบบนี้เลี้ยงลูกสาวให้สวยมีเสน่ห์ได้อย่างไรกัน How could this man have fathered such an elfin daughter? ในความรู้สึกของผมนะ and ever since smugly claimed rural status และนับแต่นั้นมาก็พูดเสียเต็มปากว่าเป็นชนบท, ส่วน elfin ถ้าดูบริบทก่อนหน้าที่พูดถึงคนพ่อว่าตัวใหญ่โตน่าเกลียดน่ากลัว ก็จะทำให้ตามมาด้วยคำถามนี้ว่า คนแบบนี้จะเป็นพ่อของลูกสาวตัวเล็กบอบบางน่าทะนุถนอมได้อย่างไร

39. "สังเกตยายตัวแข็งประจำเดือนมาแถมไม่มีใบขับขี่ทางขวาของเธอดูสิ" "Note the distinguished off-licence with period half-timbering on the right." อันนี้หลุดโลกไปเลย

40. พ่อของเวโรนิกาหยิบกระเป๋า ส่วนผมดูเหมือนกำลังตอบสนองต่อกฎการต้อนรับอันหมางเมินห่างเหิน และทำท่าว่ากระเป๋าหนักเกินจริง เขาแบกมันขึ้นมาบนห้องใต้หลังคา แล้วทิ้งตัวลงบนเตียง Veronica's father seized my case as if responding to the distant laws of hospitality and, farcically exaggerating its weight, carried it up to an attic room and threw it on the bed.

41. ผมบอกไม่ได้ว่าเป็นการปฏิบัติต่อเพื่อนของผู้ชายแบบเถื่อน ๆ หรือเขากำลังปฏิบัติต่อผมเหมือนเป็นสวะชั้นต่ำกันแน่ I couldn't tell if he was being all matily male, or treating me as lower-class scum.

42. ส่วนที่เหลือเป็นความประทับใจต่าง ๆ และความทรงจำครึ่ง ๆ กลาง ๆ ซึ่งต่อมาต้องชดใช้ The rest consists of impressions and half memories which may therefore be self-serving:

43. [ย้อนกลับไปหน้าแรกเพราะปริศนาบางอย่างคลี่คลายในหน้า 40] - ไอน้ำผุดพลุ่งขึ้นจากอ่างชื้น ๆ เมื่อกระทะร้อน ๆ ถูกโยนลงไปในนั้นและส่งเสียงฉ่า ---steam rising from a wet sink as a hot frying pan is laughingly tossed into it; (she flipped them casually into the swing-bin (หมายถึง เทเศษไข่แดงบนกระทะทิ้งลงถังขยะ), then half-threw the hot frying pan into the wet sink. Water fizzed (ตรงนี้โตมรแปลว่า น้ำส่งเสียงฉี่ฉ่า, เราเชื่อมโยงฉ่าในหน้านี้กับฉ่าหน้า 9) and steam rose at the impact (อันที่จริง at the impact ไม่ถูกแปลในหนังสือฉบับแปล), and she laughed, as if she had enjoyed causing this small havoc.)

44. ราวกับจะพูดว่าช่างน่าขนลุกขนชันอะไรเช่นนั้น What a creep. creep vs creepy ???

45. 'ฟังสิ ฟัง ชมอีกแล้ว' "Hear, hear, motion seconded,"

46. "แจ็คอ่านอะไรอยู่" ผมถาม พยายามกอบกู้สถานการณ์ "หนังสือพวกธรรมศาสตร์" เธอตอบ "เหมือนเอเดรียน" "What's Jack reading?" I asked, trying to make up ground. "Moral sciences," she replied. "Like Andrian."

47. ผมไม่อยากให้วันนั้นคลายปมออกมาเลย I didn't want the day to unravel.

48. เป็นสิ่งที่ดีหรือแย่กันแน่ A better, or a worse one? ทั้ง 48 ข้อ เป็นแค่ตัวอย่างกระตุ้นสติปัญญานะครับ ผมได้รับคำถามจากพี่คนหนึ่งว่า "คุณศลคิดยังไงกับคนที่ชอบ ณ ที่สิ้นสุดฯ มาก และถึงขนาดให้เป็นเล่มโปรด" ผมตอบไม่ถูกแฮะ เพราะตัวเองหยุดอ่านหนังสือภาษาไทยก่อนผ่านห้าสิบหน้าแรกเสียอีก เหตุผลคืออ่านไม่รู้เรื่อง ลอจิกของเรื่องเล่าดูขาดตอน ไม่ต่อเนื่องสนับสนุนเนื้อความเดียวกัน ตรงข้ามกับลอจิกของเรื่องเล่าในฉบับภาษาอังกฤษ ณ ที่สิ้นสุดของบางสิ่งเป็นการอ่าน The Sense of an Ending ที่อ่านผิด สำหรับคนที่อ่าน ณ ที่สิ้นสุดของบางสิ่งแล้วชอบ ผมเดาว่ามีโอกาสสูงที่ถ้าคุณอ่าน The Sense of an Ending แล้วคุณจะชอบมากกว่า แนะนำครับ

The Sense of an Ending

Barnes เขียนดีนะครับ ใครที่ชอบบทประเภทใคร่ครวญไตร่ตรองมองย้อนเหตุการณ์น่าจะถูกใจ แฝงความคิดปรัชญานิด ๆ อะไรประมาณนั้น ขณะเดียวกัน มีตัวบ่งชี้หลายจุดในเรื่องแสดงให้เห็นว่าบทตรึกตรองจากความทรงจำดังกล่าวอาจเชื่อถือไม่ได้ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเรื่องถูกเล่าผ่าน Tony ตอนแก่ แรงขับเคลื่อนคนอ่านส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากพล็อต อย่างน้อยก็สำหรับผมนะ มาจากตัวละคร ยกเว้นช่วงสุดท้ายที่ดูเหมือนจะคลี่คลายปริศนา ทำไม Adrian ฆ่าตัวตาย ลูกของใคร (คำถามว่าลูกของใครนี่ ผมตีความว่ามีนัยมากกว่าอสุจิของใครผสมกับไข่ของใคร เพราะในความหมายแคบ ๆ แค่นั้น คนที่อ่านถึงตอนจบทุกคนตอบคำถามนี้ได้ ในที่นี้ผมตีความให้เป็นคำถามเดียวกับสมการในบันทึกของ Adrian ที่เขียนว่า b = s - v +/x a1 หรือ a2 + v + a1 x s = b แล้วมีเครื่องหมายคำถามต่อท้าย นี่ก็เป็นคำถามว่าลูกของใครเหมือนกัน เพียงคิดผลเกี่ยวเนื่องของเหตุการณ์ที่ซับซ้อนมากกว่า เช่น ในสมการที่สอง เราอาจเห็นคำถามตัดพ้อทำนองว่า นี่ถ้า Tony (a2) ไม่เป็นแฟนกับ Veronica (v) นะ ...) เป็นต้น สิ่งที่ดูเหมือนเป็นคำตอบในตอนท้ายกลับเพิ่มปริศนามากขึ้นไปอีก เช่น เหตุการณ์วันทอดไข่ เหตุผลที่ Tony ถูกทิ้งให้อยู่กับ Sarah ใช่เป็นอย่างที่ Tony รู้และเล่ามาจริงหรือ หรืออะไรคือสิ่งที่ Veronica พูดย้ำนักย้ำหนาว่า Tony ไม่เข้าใจ ปริศนาเหล่านี้ไม่มีทางเฉลยในแบบที่คอนิยายสืบสวนจะพอใจ พอมองว่านี่เป็นเสน่ห์อีกอย่างได้นะครับ ทำให้คนที่อ่านจบแล้วหันหน้าเข้าหากันแล้วเถียงสนุกสนานออกรสว่า เธอคิดว่าทำไมอย่างนั้น ทำไมอย่างนี้ เพลินอยู่


bottom of page