
Bringing Down the House
ผมคิดว่าหนังมันจะเข้าฉายวันนี้ซะอีก (2008.5.15) อ่านค้างครึ่งเล่มไว้เกือบเดือน กลัวมันจะเข้าฉายก่อนอ่านจบ สองสามคืนที่ผ่านมาก็ตะลุยอ่านครึ่งเล่มที่เหลือ เรื่องราวของทีมเด็ก MIT ใช้คณิตศาสตร์ผสมการแสดงประดิษฐ์ระบบการเล่น 21 ทะลวงคาสิโนที่เวกัสและอื่น ๆ ในอเมริกา จากที่ดูตัวอย่างหนังผ่าน ๆ คาดว่าคงผิดจากหนังสือเยอะ เรื่องนี้เป็น Non-fiction พิมพ์ครั้งแรกปี 2002 ตอนนั้น Ben Mezrich ยังไม่เฉลยว่าใครคือ Kevin Lewis ตัวเอกผู้ใช้ชีวิต 2 ด้านระหว่างเด็กเรียนกับเซียนแบล็กแจ็ก ซึ่งเป็นผู้มอบเรื่องราวของเขาและทีมให้เบ็น จากหน้าท้าย ๆ ในฉบับตีพิมพ์ 2008 A conversation with the Author หลายคนเข้าใจว่า Ben นั่นแหละคือ Kevin ซึ่งเจ้าตัวปฏิเสธว่าไม่ใช่ ความรู้คณิตศาสตร์ของเค้านั้นห่วยเกินกว่าจะอยู่ทีม Card Counter ได้ พอมีการทำเป็นหนัง หนังสือก็เพิ่มบทใหม่ผนวก epilogue เข้าไป เป็นเหตุการณ์ตอนปี 2007 (เนื้อเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงปี 1995 - 1998 มีเหตุการณ์ตอนไทสันกัดหูโฮลี่ฟิลด์ เรื่องกัดหูนี่ส่งผลกระทบกับทีมด้วยนะ) ในบทส่งท้ายนี่แหละครับ เราจึงได้รู้ว่าตัวจริงของ Kevin ก็คือ Jeff Ma ใครอ่านเรื่องนี้แล้วไม่อยากเล่นไพ่ ไม่อยากไปถล่มเวกัส ก็ให้มันรู้กัน
21 (2008)
นึกว่าจะไม่ได้ดูเรื่องนี้ในโรงเสียแล้ว กำหนดฉายเดิมคือ 15 พ.ค. ก็ตั้งตารอดู ผมเป็นแฟนเควิน สเปซี่ พอเช็ครอบหนังวันที่ 15 ไม่เห็นเลย ตอนนั้นค่อนข้างผิดหวัง มาเห็นอีกทีวันอาทิตย์ มีฉายไม่กี่โรง ก็ชวนเบียร์สิงห์ไปดูกันที่พารากอน เรื่องนี้ผมดูไม่จบนะครับ เดินออกจากโรงก่อน เพราะคืนนั้นเราซื้อตั๋วดูหนัง 2 เรื่อง คือ 21 กับ pathology อันที่จริงก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร แต่ 21 ดันฉายเลท เราจึงใช้กลยุทธ์ ผมหนีไปดูอีกเรื่องหนึ่งก่อนแล้วค่อยให้เบียร์สิงห์ตามไป เบียร์สิงห์จะเล่าตอนจบของ 21 ให้ผมฟัง ส่วนผมจะเล่าตอนเริ่ม pathology ให้เบียร์สิงห์เป็นการแลกเปลี่ยน

21 สร้างจากหนังสือ Bringing Down the House ของ Ben Mezrich หนังกับหนังสือต่างกันเยอะทีเดียว แม้กระทั่งชื่อพระเอกของเรื่องก็ยังต่าง ในหนังสือพระเอกชื่อเควิน แต่ฉบับที่เป็นหนัง เขาชื่อของเบ็น (ในหนังสือพิมพ์ฉบับหลังปี 2006 คุณเบ็นออกมาเฉลยว่าเควินตัวจริงคือเจฟ หม่า ไม่ใช่ตัวของเขาเองอย่างที่แฟน ๆ นักอ่านหลายคนคาใจ) โครงสร้างของทีมที่ใช้ถล่มแบล็กแจ๊กก็แตกต่าง เช่น ในหนังไม่พูดถึงบทกอลลิล่า พูดเฉพาะสป๊อตเตอร์กับบิ๊กเพลเย่อร์ ในหนังมีฉากน่าสนใจฉากหนึ่ง คือ ฉากการพบกันของมิกกี้ โรซ่า กับเบ็น หนังใช้ปัญหา monty hall เป็นตัวชักนำเหตุการณ์ (ในหนังสือไม่มีเหตุการณ์ดังกล่าว) มิกกี้ถามปัญหา monty hall ในห้อง (ส่วนในหนังสือ มิกกี้ไม่ได้เป็นโปรเฟสเซอร์ที่ MIT แล้ว) มีประตู 3 บาน หลังประตู 1 บานมีรถ อีก 2 บานที่เหลือมีแกะ เบ็นเลือกขึ้นมา 1 บาน มิกกี้ซึ่งสวมบทเป็นพิธีกร เปิดประตูให้ดู 1 บานที่มีแกะ แล้วถามว่าเบ็นว่าจะเปลี่ยนใจมั้ย เพราะตอนนี้เหลือประตูที่ยังไม่ได้เปิดอีกเพียง 2 บาน เบ็นเปลี่ยนใจเลือกอีกบาน โดยให้เหตุผลว่าโอกาสชนะ 1/3 ของบานที่มิกกี้เปิดนั้นถ่ายโอนมาให้อีกบานแล้ว ถ้าเขาเลือกบานเดิมจะมีโอกาสชนะเพียง 1/3 แต่ถ้าเลือกอีกบาน จะมีโอกาสชนะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า เนื่องจากการถ่ายโอนดังกล่าว นี่เป็นคำอธิบายที่ฉลาด ปกติเวลาเฉลยปัญหามอนตี้ ฮอลล์ ถ้าไม่ใช้วิธีแจกแจงเหตุการณ์เป็นแผนภาพ เราก็ใช้ทฤษฎีของเบย์ส วิธีแรกนั้นเห็นภาพชัดเจน ส่วนวิธีที่ 2 วุ่นวายสักนิด แต่พื้นฐานทฤษฎีของเบย์สก็มีปรัชญามาจากความน่าจะเป็นที่เปลี่ยนแปลงไปเมื่อเรามีความรู้ใหม่เพิ่มเข้ามา ในที่นี้ความรู้ใหม่ที่เพิ่มเข้ามาคือ ใน 2 บานที่เบ็นไม่เลือกในตอนแรก ซึ่งโอกาสมีรถของ 2 บานรวมกันนั้นเท่ากับ 2/3 มีบานหนึ่งที่ไม่มีรถ ดังนั้น โอกาสมีรถของบานที่ไม่มีรถที่ถ่ายให้กับอีกบานที่ยังไม่รู้ ซึ่งตอนนี้ก็จะเท่ากับ 2/3