
ถ้าเปรียบเทียบกับหนังสือเล่มอื่น ๆ ของ Jared Diamond อย่าง The Third Chimpanzee, Collapse หรือ Guns, Germs, and Steel หนังสือ Why is Sex Fun? ถือว่าบางมากฮะ ผู้อ่านบางคนวิจารณ์ว่าหนังสือเล่มนี้เหมือนภาคตัดตอนเรื่องวิวัฒนาการเกี่ยวกับเพศของมนุษย์จาก The Third Chimpanzee และถูกหลายท่านวิจารณ์ว่า ชื่อนำของหนังสือไม่ถูกเน้นในหนังสือสักเท่าไร เมื่อเทียบกับชื่อรอง The Evolution of Human Sexuality เราเห็นด้วยกับคำวิจารณ์นี้นะ เพราะสุดท้ายแล้ว คำตอบที่ Jared Diamond ตอบสำหรับคำถามว่า Why is Sex Fun? เหมาะที่จะเป็นคำตอบของคำถามที่ว่า ทำไมมนุษย์จึงมีวิวัฒนาการเกี่ยวกับการสืบพันธุ์ (sex) อย่างที่เราเป็นในปัจจุบันมากกว่า ผู้เขียนเขียนด้วยอารมณ์ขัน อ่านสบาย ๆ แต่ก็แยบคายและชวนขบคิด Jared Diamond ประเดิมบทแรกด้วยมุมมองของหมาที่วิพากษ์พฤติกรรมทางเพศที่ดูไร้เหตุผลของมนุษย์ ถึงแม้ในเรื่องราวหลัก เขาพยายามทำความเข้าใจ (หรือโน้มน้าวผู้อ่านให้เข้าใจตาม) เกี่ยวกับมนุษย์ แต่ความเข้าใจดังกล่าวจะบรรลุไม่ได้เลยหากไม่มองพฤติกรรมที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกันซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายร่วมกับสัตว์สายพันธุ์อื่น ฉะนั้นเล่มนี้จึงมีเรื่องราวทางเพศแปลก ๆ และน่าสนใจให้ติดตามมากมาย อาทิ sexual cannibalism แมงมุมที่กินผัวหลังสมสู่ นกเจ้าชู้ที่เฉดหัวลูกของเมียน้อย หรือเกมวัดใจระหว่างพ่อกับแม่ของกลุ่มสัตว์ที่มีผู้ปกครองเพียงตัวเดียวก็เพียงพอสำหรับดูแลลูก นอกจากนี้ ยังมีประเด็นวิวัฒนาการที่ชวนให้ตั้งข้อสงสัย เช่น ทำไมเพศเมียเท่านั้นที่ให้นม เพราะผู้เขียนอ้างว่าเพศผู้ก็มีสรีระและการจัดเตรียมความพร้อมทางร่างกายที่สามารถให้นมได้เช่นกัน ทำไมมนุษย์เพศเมียจึงต้องมีวัยหมดประจำเดือน นี่ดูไม่ขัดแย้งกับทฤษฎีวิวัฒนาการหรอกหรือ เพราะหลังจากหมดประจำเดือนแล้วเรายังมีชีวิตอยู่ได้อีกตั้งหลายทศวรรษ ทำไมมนุษย์เพศเมียจึงซ่อนการตกไข่ การผสมพันธุ์ช่วงเวลาอื่นไม่ไร้ประโยชน์หรือ เหตุผลที่ Jared Diamond วิเคราะห์ในบทนี้อ่านแล้วอึ้งทึ่งเสียวฮะ
บทที่ 4 Wrong Time For Love อภิปรายวิวัฒนาการของ concealed ovulation พอซ่อนการตกไข่ สัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่เชิญชวนเพศผู้มาผสมพันธุ์จะแสดงออกในรูปสัญลักษณ์หรือสัญญาณอะไร? ทำไมคนเราชอบกันที่ หน้า นม สะโพก ก้น ซึ่ง sexual signal เหล่านี้โยงกับโมเดล truth-in-advertising ของ Astrid Kodric-Brown กับ James Brown (รายละเอียดพูดถึงในบทที่ 7 Truth in Advertising) และจบประเด็นปิดท้ายหนังสือด้วยขนาดจู๋ของคุณผู้ชาย แกบอกว่าเมื่อเทียบกับญาติใกล้ชิดทางวิวัฒนาการของมนุษย์เราอย่างกอริลลาที่ขนาดตัวใหญ่แต่จู๋ตอนแข็งตัวไม่ถึงหนึ่งนิ้วครึ่ง ขณะที่คนเฉลี่ย 5 นิ้ว ทำไม? เพราะถ้าแค่เอาไว้ฉี่กับฉีดน้ำเชื้อ มันไม่ต้องใช้ขนาดนั้นก็ได้ จึงโยงว่า ขนาดของจู๋คือสัญญาณตามโมเดล handicap ของ Zahavi ถ้าคุณอยากรู้คำอธิบายต่อ ลองหามาอ่านกันครับ